การใช้ยาในเดือนรอมฎอน
เดือนที่ 9 ตามปฏิทินจันทรคติของฮิจเราะห์ศักราช จัดเป็นเดือนรอมฎอนของปฏิทินชาวอิสลามหรือชาวมุสลิม เป็นเดือนที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวมุสลิมทั่วโลก ถือว่าการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนเป็นหนึ่งในห้าของหลักการปฏิบัติที่สำคัญของศาสนาอิสลาม และเป็นหน้าที่ขั้นพื้นฐานสำหรับชาวมุสลิม ในช่วงเดือนดังกล่าวชาวมุสลิมที่มีสุขภาพดีต้องงดรับประทานอาหารและเครื่องดื่มตั้งแต่เช้าจรดค่ำ โดยจะเริ่มงดน้ำและอาหารตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตกดิน เวลาการอดอาหารอาจแตกต่างกันไปตั้งแต่ 12 ถึง 17 ชั่วโมง และบางช่วงอาจนานถึง 18–22 ชม.
ผู้ป่วยที่ต้องใช้ยารักษาโรคเรื้อรังสำหรับควบคุมอาการของโรค จึงควรเข้าใจถึงความสำคัญของการจัดสรรเวลาในการรับประทานยาของตัวเองเพื่อไม่ให้กระทบกับโรคประจำตัวของตนเอง ซึ่งโรคบางชนิดหากหยุดการรับประทานยาอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดีได้ ดังเพื่อไม่ให้เกิดอาการหรือผลเสียหรือความเสี่ยงที่ไม่คาดหวัง เราสามารถเลือกวิธีปฏิบัติเรื่องการใช้ยาในโรคต่างๆได้ ดังต่อไปนี้
เนื่องจากการใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือดส่วนใหญ่จะสัมพันธ์กับมื้ออาหารที่รับประทานหรือฉีดเข้าเส้นเลือดเข้าไปในร่างกาย โดยปกติแล้วอาการเริ่มแรกของภาวะน้ำตาลในเลือดสูงจะค่อยๆ แสดงให้เห็นตลอดชั่วโมงหรือตลอดวัน อาการเหล่านั้นได้แก่ กระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย คลื่นไส้ อาเจียน ง่วงซึม ผิวหนัง ปากแห้ง เบื่ออาหาร และลมหายใจมีกลิ่นอะซีโตน ซึ่งหากผู้ป่วยที่เป็นโรคแล้วไม่รับประทานยา อาจเสี่ยงต่อภาวะเสียชีวิตจากภาวะกรดคีโตนคั่งในเลือดเนื่องจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงทีไม่ได้รับการควบคุม และหากผู้ป่วยรับประทานยาโดยที่ไม่รับประทานอาหารหรือไม่สัมพันธ์กับมื้ออาหาร อาจเกิดภาวะน้ำตาลในเส้นเลือดต่ำทำให้หมดสติ เหงื่อออก ตัวเย็น ผิวหนังซีดเย็น อ่อนล้า รู้สึกกระวนกระวาย หรือสั่นวิตกกังวล รู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าปกติ หรืออ่อนเพลีย รู้สึกสับสน ไม่มีสมาธิ ง่วงซึม อยากทานอาหารมากกว่าปกติ มองเห็นภาพไม่ชัด ปวดศีรษะ คลื่นไส้ และหัวใจเต้นเร็ว ซึ่งอาจเสียชีวิตได้เช่นกัน ดังนั้นเราสามารถปฏิบัติตัวหรือใช้ยาอย่างไรให้ปลอดภัยได้ดังต่อไป
ตัวยาอินซูลินเองอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ำตาลในเส้นเลือดต่ำได้ โดยมีลักษณะง่าย ๆ เหมือนอาการคนหิวข้าวที่มือไม้สั่น ใจหวิว ๆ จะเป็นลมนั่นเอง ซึ่งความเสี่ยงนี้มักพบมากในผู้สูงอายุ ผู้ที่ไตเสื่อม หรือมีโรคประจำตัวอื่น ๆ ร่วมด้วย การเปลี่ยนกลุ่มยาชั่วคราว หรือลดขนาดยาลงครึ่งหนึ่ง ในช่วงเดือนรอมฎอนอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำได้
ข้อแนะนำเรื่องการรับประทานยาสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
การถือศีลอดของชาวมุสลิมมีการปรับเปลี่ยนเวลาการรับประทานอาหาร ดังนั้นจึงควรมีการปรับวิธีรับประทานยาดังนี้
ตัวอย่าง
ชนิดยารับประทานก่อนอาหาร เช่น Glibenclamide, Glipizide
การรับประทานยาปกติ -----> | การรับประทานยาเดือนรอมฎอน |
1 เม็ด เช้า -----> | 1 เม็ด เปิดปอซอ |
2 เม็ด เช้า -----> | 2 เม็ด เปิดปอซอ |
1 เม็ด เช้า-เย็น -----> | 1 เม็ด เปิดปอซอ ครึ่งเม็ด ซาฮูร |
2 เม็ด เช้า-เย็น -----> | 2 เม็ด เปิดปอซอ 1 เม็ด ซาฮูร |
ชนิดยารับประทานหลังอาหาร เช่น Metformin
การรับประทานยาปกติ -----> | การรับประทานยาเดือนรอมฎอน |
1 เม็ด เช้า 1 เม็ด เปิดปอซอ -----> | 1 เม็ด เช้า-เย็น 1 เม็ด เปิดปอซอ 1 เม็ด ซาฮูร |
1 เม็ด เช้า-กลางวัน-เย็น -----> | 2 เม็ด เปิดปอซอ 1 เม็ด ซาฮูร |
2 เม็ด เช้า-เย็น -----> | 2 เม็ด เปิดปอซอ 2 เม็ด ซาฮูร |
2 เม็ด เช้า-กลางวัน-เย็น -----> | 2 เม็ด เปิดปอซอ 2 เม็ดก่อนนอน 2 เม็ด ซาฮูร |
ชนิดยาฉีดก่อนหรือหลังมื้ออาหาร
การรับประทานยาปกติ -----> | การรับประทานยาเดือนรอมฎอน |
ยาฉีด 40 ยูนิตเช้า 12 ยูนิตเย็น -----> | ฉีด 40 ยูนิตเปิดปอซอ 6 ยูนิตซาฮูร |
ชนิดยา Pioglitazone(Utmos®,Actos®) Glimepiride(Amaryl®)
ซึ่งปกติรับประทานตอนเช้าให้กินเท่าเดิมโดยให้รับประทานก่อนหรือหลังเปิดปอซอก็ได้
คำแนะนำเพิ่มเติม
ผู้ป่วยโรคเบาหวานเกิดจากการที่ร่างกายเกิดความบกพร่องในการหลั่งสารอินซูลินในการจัดการกับน้ำตาลในเส้นเลือด จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการรักษาด้วยการใช้ยาต่อเนื่องอย่างเหมาะสม
อย่างไรก็ตามให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเรื่องการปรับเปลี่ยนขนาดยาอย่างเคร่งครัดโดยไม่ควรปรับขนาดยาด้วยตนเอง
เนื่องจากยาควบคุมหรือรักษาอาการโรคเรื้อรังอื่น ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคหอบหืด โรคไต โรคความดันโลหิต โรคเก๊าฑ์ โรคสมองเสื่อม โรคไทรอยด์ โรคภูมิแพ้ และอื่นๆเป็นต้น โรคเหล่านี้ยาที่ใช้รักษาหรือควบคุมโรคไม่มีความสัมพันธ์กับมื้ออาหารมากนัก จึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเวลารับประทานยาผู้ป่วยสามารถใช้ยาได้ตามเดิมแม้ว่าไม่ได้รับประทานอาหาร หากเคร่งครัดมากในการถือศีลอด ก็แนะนำให้เปลี่ยนเวลาการรับประทานมาเป็นตอนกลางคืนเวลาใดเวลาหนึ่ง
ตัวอย่าง
การรับประทานยาปกติ | การรับประทานยาเดือนรอมฎอน |
1 เม็ด เช้า -----> | 1 เม็ด เปิดปอซอ |
2 เม็ด เช้า -----> | 2 เม็ด เปิดปอซอ |
1 เม็ด เช้า-เย็น -----> | 1 เม็ด เปิดปอซอ 1เม็ด ซาฮูร |
2 เม็ด เช้า-เย็น -----> | 2 เม็ด เปิดปอซอ 2 เม็ด ซาฮูร |
คำแนะนำเพิ่มเติม
การรับประทานยาให้ครบตามแพทย์หรือเภสัชกรแนะนำอย่างเคร่งครัด จะช่วยให้ภาวะของโรคสงบและลดโอกาสการกำเริบหรือแสดงอาการเลวร้ายของโรคได้
หากมีการเจ็บป่วยอื่นๆที่ไม่ใช้โรคเรื้อรัง เช่น โรคกระเพาะ ปวดกล้ามเนื้อ โรคระบบทางเดินหายใจ ไอ จาม โรคไข้หวัด โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคท้องเสีย และอื่นๆเป็นต้น ผู้ป่วยสามารถใช้ยาได้ตามปกติเพียงแต่เปลี่ยนเวลาการรับประทานยาจากกลางวันมาเป็นกลางคืนแทน หากยาชนิดใดให้รับประทานยาก่อนมื้ออาหารก็ควรรับประทานก่อนมื้ออาหาร เนื่องจากยาบางชนิดให้รับทานก่อนเนื่องจากมีความสัมพันธ์กับมื้ออาหารที่จะทานตามมา เช่น ยารักษาโรคกระเพาะบางชนิดให้รับประทานก่อนอาหาร 30 นาที เนื่องจากยาจะไปออกฤทธิ์เพื่อยับยั้งการหลั่งกรดก่อนอาหารจะมาถึงกระเพาะเพื่อไม่ให้มีการหลั่งกรดมาย่อยอาหารเยอะเกินไป หรือยาบางชนิดออกฤทธิ์ได้ดีหากกระเพาะอาหารไม่มีอาหารอยู่ หรือดูดซึมหรือออกฤทธิ์ได้ดีตอนกระเพาะอาหารว่างนั่นเอง หากยาชนิดใดกำหนดว่าให้รับประทานหลังอาหารทันทีก็ควรรับประทานหลังอาหารทันที เนื่องจากยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดท้องประจำเดือน แก้ปวดหัว แก้ปวดไมเกรน แก้ปวดข้อ แก้ปวดเก๊าฑ์ เป็นต้น อาจมีผลระคายเคืองกระเพาะอาหาร ซึ่งทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ ผู้ป่วยจึงควรรับประทานหลังอาหารตามมื้อที่ปฏิบัติได้
อย่างไรก็ตามหากมีความจำเป็นต้องใช้ยาผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยเรื่องการใช้ยาสูงสุดกับตัวผู้ป่วยเอง
ผู้เรียบเรียง
ภก.กุญชร เหรียญทอง
24 กรกฎาคม 2562
อ้างอิง